1. บทนำ: ทำไมปัญหานี้จึง "เดือด" สำหรับประเทศไทย?
วิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศได้ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก จนเลขาธิการองค์การสหประชาชาติต้องประกาศว่าเราได้ก้าวข้ามจากยุค "โลกร้อน (Global Warming)" ไปสู่ยุค "โลกเดือด (Global Boiling)" แล้ว เพื่อสะท้อนถึงความเร่งด่วนของปัญหาที่ทุกประเทศต้องเผชิญ ผลกระทบนี้เห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศไทย จากผลการศึกษาล่าสุดที่พบว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ได้เพิ่มจำนวนวันที่อากาศร้อนจัดสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างน่าตกใจถึง 59 วัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกกว่าสองเท่า
สำหรับประเทศไทย สถานการณ์นับว่าน่ากังวลยิ่งกว่านั้น เพราะผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องอุณหภูมิที่สูงขึ้น แต่ยังคุกคามเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยตรง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งคาดการณ์ว่า หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ อย่างจริงจัง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรไทยลดลงถึง 20-25% ภายในปี 2592 ด้วยความเสี่ยงที่ชัดเจนทั้งต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประเทศเช่นนี้ ประเทศไทยจึงต้องกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่กำลัง "เดือด" ขึ้นทุกขณะ
2. ถอดรหัสเป้าหมายสภาพภูมิอากาศของไทย
เพื่อทำความเข้าใจแผนการของประเทศไทย เราจำเป็นต้องรู้จักคำศัพท์สำคัญสองคำที่มักถูกใช้สลับกัน แต่มีความหมายแตกต่างกันอย่างชัดเจน:
| ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) | การสร้างสมดุลระหว่างปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่ชั้นบรรยากาศ กับความสามารถในการดูดซับก๊าซดังกล่าวกลับคืนมา เช่น ผ่านการปลูกป่า ทำให้ยอดการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ | 
| การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emissions) | เป้าหมายที่เข้มข้นกว่า โดยครอบคลุมการสร้างสมดุลของก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด (7 ชนิด) ไม่ใช่แค่ CO2 ซึ่งรวมถึงก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ที่เกิดจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมด้วย | 
หลังจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายระดับชาติอย่างเป็นทางการ ดังนี้:
- ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality): บรรลุเป้าหมายภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
- การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emissions): บรรลุเป้าหมายภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
- ยกระดับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC): เพิ่มเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเดิม 20-25% เป็น 40% ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030)
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายเหล่านี้ ประเทศไทยได้วางแผนกลยุทธ์ที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในหลายภาคส่วนสำคัญของประเทศ
3. แผนแม่บท: เสาหลักสำคัญสู่การลดคาร์บอน
แผนการลดคาร์บอนของไทยตั้งอยู่บนแนวทางที่หลากหลาย ครอบคลุมภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจ โดยมีเสาหลักสำคัญ 4 ประการดังนี้
- การปฏิวัติภาคพลังงาน (Energy Sector Revolution) เสาหลักนี้มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างก้าวกระโดด จากการวิเคราะห์สถานการณ์สมมติที่เร่งรัดขึ้น (NZE2050) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2593 พลังงานหมุนเวียนจะต้องมีสัดส่วนสูงถึง 67% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ควบคู่ไปกับการวางแผนยกเลิกการใช้ถ่านหินในระยะยาว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดของภาคพลังงานไทย
- การเปลี่ยนผ่านยานยนต์ (Transportation Transition) รัฐบาลตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีเป้าหมายให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนอย่างน้อย 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 และมุ่งสู่การผลิตยานยนต์ไร้มลพิษ 100% ภายในปี 2578 เพื่อรองรับการใช้งานในประเทศ แผนดังกล่าวยังรวมถึงการขยายสถานีชาร์จสาธารณะให้ได้ 12,000 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2573 และสนับสนุนการเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะให้เป็นรถบัสไฟฟ้า
- การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Adopting Advanced Technology) แผนการลดคาร์บอนในระยะยาวนั้นพึ่งพาการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคตเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และ พลังงานชีวภาพพร้อมการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (BECCS) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2583 เป็นต้นไป เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนที่ทำได้ยาก (Hard-to-abate sectors) ให้เป็นศูนย์
- การเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับคาร์บอน (Expanding Green Carbon Sinks) เพื่อเพิ่มความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับ CO2 รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ครอบคลุม 55% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศภายในปี 2580 กลยุทธ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสมดุลคาร์บอน โดยตั้งเป้าให้ภาคป่าไม้และพื้นที่สีเขียวสามารถดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
การดำเนินงานตามแผนแม่บทเหล่านี้จำเป็นต้องมีการลงทุนมหาศาล ซึ่งนำไปสู่การพิจารณาถึงสมการทางเศรษฐกิจระหว่างต้นทุนและโอกาสที่ต้องเผชิญ
4. สมการเศรษฐกิจ: การสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนและโอกาส
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนซึ่งต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนของการลงมือทำและต้นทุนของการนิ่งเฉย
ต้นทุนของการลงมือทำอย่างเร่งด่วน (The Cost of Aggressive Action)
เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบทางเศรษฐกิจของการเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็ว นักวิจัยได้วิเคราะห์สถานการณ์สมมติที่เร่งรัดขึ้น คือการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 (NZE2050) ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายอย่างเป็นทางการของไทย 15 ปี ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รุนแรง หากต้องเร่งรัดในระดับนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจลดลงสูงถึง 8.5% ในปี 2593 ต้นทุนการลดคาร์บอนอาจพุ่งสูงขึ้นไปถึง 734 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และที่น่ากังวลคือ การบริโภคของภาคครัวเรือนอาจลดลงถึง 42.4% ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
ต้นทุนของการไม่ทำอะไรเลย (The Cost of Inaction)
ในทางกลับกัน การไม่ลงมือทำหรือทำอย่างล่าช้าไม่ใช่ทางเลือกที่ไม่มีต้นทุน แต่กลับเป็นเส้นทางที่อาจมีราคาที่ต้องจ่ายสูงกว่ามาก ดังที่กล่าวไว้ในบทนำ ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้คาดว่าจะทำให้รายได้ต่อหัวของคนไทยลดลง 20-25% ภายในปี 2592 ที่สำคัญ การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นว่าต้นทุนความเสียหายจากปัญหาโลกร้อนในระยะยาวนั้นสูงกว่าต้นทุนในการลงมือแก้ไขถึง 6 เท่า
บทวิเคราะห์นี้จึงนำเสนอทางเลือกที่ชัดเจน นั่นคือการเผชิญหน้ากับต้นทุนของการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านซึ่งแม้จะสูงแต่สามารถบริหารจัดการได้ หรือการยอมรับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ควบคุมไม่ได้และอาจนำไปสู่ภาวะล่มสลายทางเศรษฐกิจและสังคม
5. บทสรุป: เส้นทางที่ท้าทายแต่จำเป็น
การเดินทางสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยเป็นเส้นทางที่ยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็เป็นเส้นทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องตระหนัก 3 ประการ
- เป้าหมายชัดเจนแต่ท้าทาย (Clear but Challenging Goals) ประเทศไทยมีเป้าหมายที่ชัดเจน (ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2593 และ Net Zero ปี 2608) แต่การจะไปให้ถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ในทุกมิติของเศรษฐกิจและสังคมอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ
- เทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญ (Technology is Key) ความสำเร็จของแผนนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสองประการ คือ หนึ่ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสะอาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันอย่างเต็มศักยภาพ (เช่น พลังงานหมุนเวียน, ยานยนต์ไฟฟ้า) และสอง ความสำเร็จในการวิจัย พัฒนา และนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในปัจจุบันมาใช้ในวงกว้างให้ได้ในอนาคต (เช่น CCUS, BECCS และไฮโดรเจนสีเขียว) ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
- การลงทุนเพื่ออนาคต (An Investment in the Future) แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงในระยะสั้น แต่นี่คือการลงทุนที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ประเมินค่าไม่ได้จากวิกฤตการณ์ "โลกเดือด" ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงกว่ามากสำหรับอนาคตของประเทศไทย
Reference:
- Thailand’s net-zero emissions by 2050: analysis of economy-wide impacts ; https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10144883/
- Transportation หรือ ภาคขนส่ง จากตัวการสร้างโลกร้อน สู่มาตรการแก้ปัญหา; https://www.setsocialimpact.com/Article/Detail/77642
- การดำเนินงานด้านพลังงานและการจัดการก๊าซเรือนกระจก; https://www.dede.go.th/articles?id=7178
- การตั้งเป้าหมายของไทยเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางจาการประชุม COP26 (สอวช.); https://www.nxpo.or.th/th/9651/
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-Policy Watch-Thia PBS; https://policywatch.thaipbs.or.th/policy/environment-4
- นโยบายสาธารณะ-Policy Watch-Thai PBS; https://policywatch.thaipbs.or.th/tag/นโยบายสาธารณะ
- ผลงานวิจัยล่าสุด “โลกเดือด” เพิ่มจำนวนวันที่อากาศร้อนจัดให้โลกอีก 26 วัน: แต่ไทยได้มากกว่า; https://www.thaiworkerjusticeforall.com/?p=2416
- โลกร้อนทำรายได้ต่อหัวประชากรของโลกลดลง 19% ภายในปี 2049: แต่ของไทยลดลงมากกว่า; https://thaipublica.org/2025/05/thai-climate-justice-for-all51/
