5 เรื่องจริงสุดช็อกเกี่ยวกับเป้าหมาย Net Zero ของไทย ที่คุณอาจไม่เคยรู้

เราคงเคยได้ยินคำว่า "Net Zero" และ "Carbon Neutrality" กันบ่อยครั้งจากประกาศของรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ดูยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความหวัง แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าเบื้องหลังคำประกาศเหล่านั้น คือช่องว่างมหาศาลระหว่างเป้าหมายที่ทะเยอทะยานกับความเป็นจริงที่ซับซ้อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สภาพอากาศ นโยบาย และเทคโนโลยี? บทความนี้จะเปิดเผย 5 ประเด็นสำคัญที่น่าตกใจจากข้อมูลการศึกษาและงานวิจัย ซึ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงกันจะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมที่แท้จริงและเข้าใจถึงความเปราะบางบนเส้นทางสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยในมุมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
1. การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero อาจต้องแลกด้วยต้นทุนมหาศาล...แต่การไม่ทำอะไรเลยอาจสาหัสกว่า
การเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีราคาที่ต้องจ่าย จากการศึกษาหัวข้อ "Thailand's net-zero emissions by 2050" พบว่า การจะบรรลุเป้าหมายภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงสูงถึง 8.5% และที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การบริโภคของภาคครัวเรือนอาจลดลงถึง 42.4% ในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่อาจทำให้ภาคอุตสาหกรรมพลังงานและการขนส่งดั้งเดิมมีประสิทธิผลลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเกิดการสูญเสียสวัสดิภาพ (welfare loss) สะสมถึง 6.8% ในช่วงปี 2020-2050
แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ผลลัพธ์อาจเลวร้ายยิ่งกว่า บทความวิจัยในวารสาร Nature ได้คาดการณ์ว่า หากปล่อยให้ปัญหาโลกร้อนดำเนินต่อไป รายได้ต่อหัวของคนไทยจะลดลงถึง 20-25% ภายในปี 2049 (พ.ศ. 2592) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 19%
เมื่อมองภาพรวมในระดับโลก ความเสียหายจากการไม่ลงมือทำอะไรเลยคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในขณะที่ต้นทุนในการแก้ไขปัญหานั้นอยู่ที่ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งน้อยกว่าถึง 6 เท่า ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่า แม้การเปลี่ยนแปลงจะมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็เป็นการลงทุนที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะทางเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าในระยะยาว
2. ไทยกำลังกลายเป็น ‘เตาอบ’: เราเจอวันร้อนจัดเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 2 เท่า
ผลการวิจัยล่าสุดที่เก็บข้อมูลทั่วโลกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบความจริงที่น่าตกใจว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ทำให้โลกมีจำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัดเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 26 วัน
แต่สำหรับประเทศไทย ตัวเลขดังกล่าวกลับน่ากังวลยิ่งกว่า เพราะเรามีจำนวนวันร้อนจัดเพิ่มขึ้นถึง 59 วัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกมากกว่าสองเท่า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เป็นเพียงสถิติ แต่คือความจริงที่กระทบต่อชีวิตคนไทยโดยตรง ตั้งแต่เกษตรกรที่ต้องเผชิญกับผลผลิตเสียหายจากความแห้งแล้งและร้อนจัด ไปจนถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในเมืองที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
3. สรุปแล้วจะ Net Zero ปีไหน? เป้าหมายของไทยยังสับสนและไม่นิ่ง
แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศเป้าหมาย Net Zero อย่างต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติกลับยังมีความสับสนอยู่ไม่น้อย หากดูเอกสารที่เป็นทางการที่ประเทศไทยยื่นต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) จะพบว่าเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ถูกกำหนดไว้ภายในปี 2065 (พ.ศ. 2608)
อย่างไรก็ตาม ในหลายครั้งรัฐบาลก็ได้ประกาศเป้าหมายที่ทะเยอทะยานกว่านั้น คือการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ความสับสนนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อปัจจุบันมีร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถึง 4 ฉบับที่แตกต่างกัน ทั้งฉบับของรัฐบาล, ฉบับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และฉบับของภาคประชาชน ความไม่นิ่งของเป้าหมายและนโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างฉันทามติและกำหนดทิศทางที่ชัดเจนของประเทศในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
4. กรุงเทพฯ จมรถยนต์: ปัญหาจราจรคือภาพสะท้อนวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่เรื่องน่าปวดหัวในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของวิกฤตที่ใหญ่กว่านั้น ข้อมูลระบุว่า ปริมาณรถยนต์ในกรุงเทพมหานครมีมากกว่าที่ถนนจะสามารถรองรับได้ถึง 4.4 เท่า
ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าภาคการขนส่งคือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับสองของประเทศ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นวาระเร่งด่วนที่ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
5. ทางรอดของเราอาจต้องพึ่งพา ‘เทคโนโลยีแห่งความหวัง’ ที่ยังไม่แน่นอน
เส้นทางสู่ Net Zero ของประเทศไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น แต่ยังต้องเดิมพันกับความสำเร็จของเทคโนโลยีในอนาคตด้วย แบบจำลองที่ใช้วางแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยนั้น พึ่งพาเทคโนโลยีที่สำคัญอย่างมากในช่วงหลังปี 2040 (พ.ศ. 2583) เป็นต้นไป เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และการใช้ชีวมวลร่วมกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (BECCS)
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บทวิเคราะห์หนึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญว่า:
"Viability and available storage capacity of CCS in Thailand are still uncertain."
ข้อความนี้สะท้อนความจริงที่ว่า "ความสามารถในการใช้งานจริงและศักยภาพในการกักเก็บของเทคโนโลยี CCS ในไทยยังคงไม่แน่นอน" ความไม่แน่นอนนี้เกิดจากการที่การวิจัยและพัฒนาเพื่อประเมินศักยภาพและเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ในบริบทของประเทศไทยยังคงมีจำกัด ทำให้การเดิมพันอนาคตของชาติไว้กับเทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นความเสี่ยงที่สูงอย่างยิ่ง
บทสรุป
ช่องว่างระหว่างเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 กับปี 2065 ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของตัวเลขปีที่แตกต่างกัน แต่มันคือหุบเหวที่เต็มไปด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ความจริงอันโหดร้ายของสภาพอากาศที่ร้อนระอุขึ้นทุกวัน ปัญหารถติดที่สะท้อนวิกฤตบนท้องถนน และการเดิมพันอนาคตของชาติไว้กับเทคโนโลยีที่ยังไม่แน่นอน เรื่องจริงที่น่าตกใจที่สุดอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงข้อใดข้อหนึ่ง แต่คือการตระหนักว่าเส้นทางข้างหน้าของประเทศไทยนั้นเปราะบางและเต็มไปด้วยความท้าทายมากกว่าที่เราเคยรับรู้
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ คำถามสำคัญอาจไม่ใช่แค่ว่าเราจะไปถึง Net Zero ได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราแต่ละคนพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่ซับซ้อนเหล่านี้อย่างไร?
Reference:
- Thailand’s net-zero emissions by 2050: analysis of economy-wide impacts ;https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10144883/
- Transportation หรือ ภาคขนส่ง จากตัวการสร้างโลกร้อน สู่มาตรการแก้ปัญหา;https://www.setsocialimpact.com/Article/Detail/77642
- การดำเนินงานด้านพลังงานและการจัดการก๊าซเรือนกระจก;https://www.dede.go.th/articles?id=7178
- การตั้งเป้าหมายของไทยเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางจาการประชุม COP26 (สอวช.);https://www.nxpo.or.th/th/9651/
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-Policy Watch-Thia PBS; https://policywatch.thaipbs.or.th/policy/environment-4
- นโยบายสาธารณะ-Policy Watch-Thai PBS;https://policywatch.thaipbs.or.th/tag/นโยบายสาธารณะ
- ผลงานวิจัยล่าสุด “โลกเดือด” เพิ่มจำนวนวันที่อากาศร้อนจัดให้โลกอีก 26 วัน: แต่ไทยได้มากกว่า;https://www.thaiworkerjusticeforall.com/?p=2416
- โลกร้อนทำรายได้ต่อหัวประชากรของโลกลดลง 19% ภายในปี 2049: แต่ของไทยลดลงมากกว่า;https://thaipublica.org/2025/05/thai-climate-justice-for-all51/


Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!