อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ผู้พลิกโลกแห่งการติดต่อสื่อสารของมนุษย์

ตั้งแต่อดีตกาลโบราณมา วิวัฒนาการของการติดต่อสื่อสารเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราต้องการจะคุยกับใครสักคน วิธีที่ง่ายที่สุดคือการโทรศัพท์ไปหาคนคนนั้น iEnergyGURU จึงขอนำเรื่องราวบางส่วนของผู้ที่คิดค้น ผู้ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารโดยการใช้โทรศัพท์ ที่ทั้งสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย จนทำให้โทรศัพท์กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้มานำเสนอให้ท่านได้ทราบกัน

อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) เป็นนักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกร ชาวสกอตแลนด์-อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี พ.ศ. 2390 ที่เมืองเอดินเบิร์ก (Edinburgh) ประเทศสก็อตแลนด์ (Scotland) บ้านของครอบครัวอยู่ที่ถนนเซาท์ชาร์ลอตต์ (South Charlotte Street) และปัจจุบันมีหินจารึกระบุว่าเป็นบ้านเกิดของอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์

เบลล์เป็นลูกชายคนกลางของครอบครัว พี่ชายของเขาคือ เมลวิลล์ เจมส์ เบลล์ (Melville James Bell) และน้องชายของเขาคือ เอ็ดเวิร์ด ชาร์ลส์ เบลล์ (Edward Charles Bell) ทั้งสองคนเสียชีวิตด้วยวัณโรค พ่อของเขาคือศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ เมลวิลล์ เบลล์ (Alexander Melville Bell) นักสัทศาสตร์ (Phonetician) และแม่ของเขาคือเอลิซา เกรซ เบลล์ (Eliza Grace Bell) ตอนเด็กเบลล์เรียนหนังสืออยู่ที่บ้านกับแม่จนถึงอายุ 11 ปี จึงเข้าเรียนระดับมัธยมเป็นเวลา 4 ปี เขาสนใจวิทยาศาสตร์แต่มีผลการเรียนไม่ดีนัก แต่เบลล์เป็นเด็กที่กระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นและชอบทดลอง เขาอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกใบนี้ เขารวบรวมตัวอย่างพฤกษศาสตร์และทำการทดลองตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อนที่ดีที่สุดของเขาคือ เบ็น เฮิร์ดแมน (Ben Herdman) เพื่อนบ้านที่ครอบครัวทำโรงโม่แป้ง เมื่ออายุได้ 12 ขวบ เบลล์ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ทำเองที่ผสมผสานไม้พายหมุนกับตะไบเล็บ ทำให้เกิดเครื่องกะเทาะเปลือกแบบง่าย ๆ ติดตั้งเพิ่มเข้าไปในระบบสีข้าวที่นำไปใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ในทางกลับกัน จอห์น เฮิร์ดแมน (John Herdman) บิดาของเบ็นได้จัดเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ให้กับเด็กชายทั้งสองเพื่อสร้างผลงานการประดิษฐ์

แม่ของเบลล์เป็นนักเปียโนและจิตรกร พรสวรรค์ด้านศิลปะจึงถูกถ่ายทอดไปที่เบลล์ ทำให้เบลล์มีนิสัยอ่อนไหวและมีความสามารถด้านศิลปะ กวีนิพนธ์ และดนตรี ซึ่งเขาเล่นเปียโนได้ดีมาก เป็นนักเปียโนประจำครอบครัว แม่ของเบลล์เริ่มมีปัญหาด้านการฟังตั้งแต่ตอนเบลล์อายุ 12 ปีและปัญหาค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งหูของเธอแทบหนวกสนิท สิ่งนี้เองส่งผลกระทบต่อชีวิตของเบลล์อย่างมาก เขาเรียนภาษามือเพื่อจะได้สื่อสารกับแม่ได้ ความห่วงใยในปัญหาหูหนวกของแม่ ทำให้เขาศึกษาวิชาอะคูสติก (Acoustics) ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับเสียง การได้ยิน และคลื่นเสียงที่ผ่านตัวกลางต่าง ๆ อันเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์ยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนโลกในอนาคต นอกจากนี้ เขายังได้พัฒนาเทคนิคการพูดที่ชัดเจน โทนเสียงที่ปรับให้เข้ากับแม่ของเขาโดยตรง ซึ่งเธอจะได้ยินเขาด้วยความชัดเจนตามสมควร ความหมกมุ่นอยู่กับอาการหูหนวกของแม่ทำให้เขาต้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องเสียง

ครอบครัวของเบลล์ มีความเกี่ยวพันกับทางด้านภาษาศาสตร์ว่าด้วยการออกเสียง (Elocution) โดยปู่ของเขาสอนอยู่ที่กรุงลอนดอน ลุงสอนอยู่ที่กรุงดับลิน และพ่อของเขาสอนอยู่ที่เอดินเบิร์ก พ่อของเบลล์เชี่ยวชาญเรื่องการออกเสียงมาก และมีผลงานการเขียนหนังสือชื่อ “The Standard Elocutionist” (พ.ศ. 2403) ที่ได้รับความนิยมมาก และยังสร้างระบบสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งของอวัยวะในการออกเสียงที่เรียกว่า “Visible Speech” โดยเป็นการศึกษาและออกแบบระบบแสดงวิธีการออกเสียงพูดของมนุษย์ โดยใช้สัญลักษณ์ในการแทนการเคลื่อนไหว ปาก ลิ้นและลำคอ เป็นงานวิจัยซึ่งมีส่วนอย่างมากเพื่อช่วยให้คนหูหนวกหัดออกเสียงและพูดได้ เบลล์เรียนรู้จากพ่อจนเชี่ยวชาญและเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของพ่อในการสาธิตต่อสาธารณชน เขาเก่งขนาดถอดรหัส Visible Speech ได้แทบทุกภาษา รวมทั้งภาษาละติน (Latin) สก๊อตเกลิค (Scottish Gaelic) และแม้แต่สันสกฤต (Sanskrit) โดยสามารถอ่านได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการออกเสียงมาก่อนและต่อมาในภายหลัง เบลล์ได้นำมาปรับปรุงเพื่อช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถอ่านริมฝีปากของผู้พูดเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูด

เมื่อยังเป็นเด็ก เบลล์ก็เหมือนกับพี่น้องของเขา ได้รับการศึกษาตอนต้นที่บ้านจากพ่อของเขา ตอนอายุยังน้อย เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมรอยัล (Royal High School) เมืองเอดินเบิร์ก (Edinburgh) สก็อตแลนด์ (Scotland) และลาออกเมื่ออายุ 15 ปี พ่อของเขาผิดหวังจากผลการเรียนที่ไม่โดดเด่นของเขา เขาไม่สนใจวิชาอื่น ๆ ในโรงเรียน สนใจแต่วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีววิทยา ทำให้ เมื่อออกจากโรงเรียน เบลล์เดินทางไปลอนดอนเพื่ออาศัยอยู่กับอเล็กซานเดอร์ เบลล์ (Alexander Bell) ปู่ของเขาที่จัตุรัสแฮร์ริงตัน (Harrington Square) ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่อยู่กับปู่ ความรักในการเรียนรู้ถือกำเนิดขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ปู่ได้ฝึกฝนเขาในเรื่องการพูดและพัฒนาเขาให้เป็นคุณครู ปีถัดมาเบลล์ในวัย 16 ปี เข้าเรียนด้านวาทศิลป์และดนตรีที่สถาบันเวสตันเฮาส์อะคาเดมี่ (Weston House Academy) ในสก็อตแลนด์ พร้อมกับเป็นผู้ช่วยสอนในสาขาการออกเสียงและดนตรี ปีต่อมาเขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก (University of Edinburgh) ที่เดียวกับพี่ชายซึ่งเข้าเรียนก่อนหน้าปีหนึ่ง

ในปี พ.ศ. 2406 พ่อของเบลล์พาลูกชายของเขาไปดูหุ่นยนต์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งพัฒนาขึ้นโดยเซอร์ชาร์ลส์ วีตสโตน (Sir Charles Wheatstone) โดยอิงจากงานก่อนหน้าของบารอน โวล์ฟกัง ฟอน เคมเพเลน (Baron Wolfgang von Kempelen) เบลล์รู้สึกทึ่งกับเครื่องจักรนี้ หลังจากที่เขาได้รับหนังสือของบารอน โวล์ฟกัง ฟอน เคมเพเลน ซึ่งจัดพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน เขาตั้งใจอ่านและแปลมัน เบลล์และพี่ชายช่วยกันสร้างหัวหุ่นยนต์ขึ้นมาเอง พ่อของพวกเขาสนใจในโครงการนี้มากจึงเสนอรางวัลล่อใจให้ หากพวกเขาทำสำเร็จ พี่ชายของเขาสร้างคอและกล่องเสียง ส่วนเบลล์จัดการกับงานที่ยากกว่าในการสร้างส่วนหัวที่เหมือนจริงขึ้นมาใหม่ ความพยายามของเขาส่งผลอย่างน่าทึ่ง พวกเขาสามารถสร้างหัวหุ่นยนต์ที่พูดได้ แม้จะพูดเพียงไม่กี่คำก็ตาม

เมื่ออายุได้ 19 ปี เบลล์เขียนรายงานเกี่ยวกับงานของเขาและส่งให้กับ อเล็กซานเดอร์ เอลลิส (Alexander Ellis) เป็นนักภาษาศาสตร์ (Philologist) และเป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อของเขา เอลลิสเขียนตอบกลับทันทีโดยระบุว่าการทดลองมีความคล้ายคลึงกับงานที่มีอยู่ในเยอรมนี และยังให้ยืมสำเนาผลงานของแฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ (Hermann von Helmholtz) เรื่อง The Sensations of Tone เป็นพื้นฐานทางสรีรวิทยาสำหรับทฤษฎีดนตรีของเบลล์

ด้วยความผิดหวังที่พบว่าเฮล์มโฮลทซ์เป็นผู้ถ่ายทอดเสียงสระโดยใช้ส้อมเสียงที่คล้ายคลึงกัน เบลล์จึงทบทวนหนังสือของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันจึงพบความผิดพลาดของเขาเองที่แปลผิด เบลล์กล่าวว่า: “โดยที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก สำหรับฉันดูเหมือนว่าถ้า เสียงสระสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการทางไฟฟ้า ดังนั้นพยัญชนะก็เกิดขึ้นได้ จึงสามารถเปล่งเสียงพูดได้” เขายังตั้งข้อสังเกตในภายหลังว่า: “ฉันคิดว่าเฮล์มโฮลทซ์ทำมัน ... และความล้มเหลวของฉันเกิดจากการที่ไม่รู้เรื่องไฟฟ้าเท่านั้น มันเป็นความผิดพลาดอันมีค่า ... ถ้าฉันสามารถอ่านภาษาเยอรมันได้ในสมัยนั้นฉันอาจไม่เคยเริ่มการทดลองของฉันเลย”!

ปี พ.ศ. 2408 ครอบครัวของเบลล์ย้ายไปอยู่ที่ลอนดอน ส่วนเขากลับไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์ที่สถาบันเวสตันเฮาส์อะคาเดมี่ เขาใช้เวลาว่างทำการทดลองเกี่ยวกับเสียงโดยมุ่งความสนใจไปที่การใช้ไฟฟ้าในการถ่ายทอดเสียง ปี พ.ศ. 2410 สุขภาพของเบลล์เริ่มไม่ดีขณะที่น้องชายเขาป่วยเป็นวัณโรคและเสียชีวิต เขากลับมาอยู่ที่บ้านและตั้งใจจะเรียนให้จบปริญญาที่มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (University College London) ซึ่งเขาสอบเข้าได้แล้ว แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2413 พี่ชายของเขามาเสียชีวิตด้วยวัณโรคไปอีกคน ครอบครัวของเขาหวั่นวิตกมากว่าจะเสียลูกชายคนสุดท้ายด้วยโรคนี้อีกเพราะเบลล์ก็มีสุขภาพไม่สู้ดี พ่อของเบลล์เคยป่วยหนักแต่กลับมาหายดีจากการได้พักฟื้นที่ประเทศแคนาดา พวกเขาจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวไปอยู่ที่แคนาดา ความหวังของเบลล์ในการได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนเป็นอันหมดไป

เบลล์ วัย 23 ปีเดินทางไปกับครอบครัวเพื่ออยู่กับโธมัส เฮนเดอร์สัน (Thomas Henderson) รัฐมนตรีแบ๊บติสต์ที่ไปอาศัยอยู่ที่เมืองแบรนท์ฟอร์ด (Brantford) รัฐออนแทรีโอ (Ontario) แคนาดา (Canada) ในไม่ช้าครอบครัวเบลล์ได้ซื้อฟาร์มขนาด 10.5 เอเคอร์ (42,000 ตร.ม.) ที่ Tutelo Heights (ปัจจุบันเรียกว่า Tutela Heights) ใกล้แบรนท์ฟอร์ด ทรัพย์สินประกอบด้วยสวนผลไม้ บ้านไร่ขนาดใหญ่ คอกม้า เล้าหมูและไก่ และรถม้า ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำแกรนด์ (Grand River)

 

Melville House บ้านหลังแรกของเบลล์ในอเมริกาเหนือ ปัจจุบันเป็นโบราณสถานแห่งชาติของแคนาดา / ภาพจาก en.wikipedia.org

 

ที่ไร่นา มีโพรงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในต้นไม้ที่ด้านหลังของที่ดินเหนือแม่น้ำ เบลล์ตั้งโรงงานของตัวเองในโรงเก็บของเก่า ดัดแปลงรถม้าเป็นห้องทดลองทางด้านเสียง ซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “สถานที่ในฝัน” แม้ว่าสภาพร่างกายของเขาจะอ่อนแอเมื่อมาถึงแคนาดา แต่สภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่เบลล์ชื่นชอบทำให้สุขภาพของเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังคงสนใจในการศึกษาเสียงของมนุษย์และเมื่อเขาค้นพบเขตสงวน Six Nations Reserve ข้ามแม่น้ำที่โอนอนดากา (Onondaga) ที่นี่เขาได้พบกับกลุ่มชนพื้นเมืองแคนาดา เขาเรียนรู้ภาษาโมฮอก (Mohawk) ซึ่งเป็นภาษาพูดของชนเผ่า แล้วเขียนเป็นตัวอักษรสัญลักษณ์แบบ Visible Speech ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ภาษานี้ถูกใช้แบบภาษาเขียน ผลงานนี้ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งจากชาวชนเผ่าให้เป็นหัวหน้าเผ่ากิตติมศักดิ์ และเข้าร่วมในพิธีซึ่งเขาสวมผ้าโพกศีรษะอินเดียนแดงและเต้นรำตามประเพณี

หลังจากตั้งโรงงานแล้ว เบลล์ให้ความสนใจกับอุปกรณ์การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เขายังคงทำการทดลองโดยอิงจากงานของเฮล์มโฮลทซ์เกี่ยวกับไฟฟ้าและเสียง นอกจากนี้ เขายังดัดแปลงเมโลเดียนชนิดที่ปั๊มลมเพื่อส่งเสียงให้สามารถส่งเสียงดนตรีผ่านสัญญาณไฟฟ้าได้สำเร็จ

พ่อของเบลล์ได้รับเชิญจากโรงเรียนสอนคนหูหนวกในเมืองบอสตัน (Boston) รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) สหรัฐอเมริกาให้ไปเปิดคอร์สสอนวิชา Visible Speech แก่บรรดาคุณครูของโรงเรียน เบลล์ไปสอนแทนพ่อและประสบความสำเร็จ โรงเรียนสอนคนหูหนวกจากอีกหลายรัฐเชิญเขาให้ไปเปิดสอนคอร์สนี้ให้แก่คุณครูของพวกเขา ในปี พ.ศ. 2415 เบลล์เปิดโรงเรียนสอนการออกเสียงให้กับคนหูหนวกที่เมืองบอสตันและก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงมีคนหูหนวกมาเป็นนักเรียนของเขาจำนวนมาก และทั้งๆ ที่เบลล์ไม่เคยได้รับปริญญามาก่อนในปีถัดมาเขาได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ด้านสรีระและการออกเสียงที่มหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University School of Oratory) เป็นช่วงเวลาที่เขาสลับไปมาระหว่างบอสตันและแบรนท์ฟอร์ด และใช้เวลาช่วงฤดูร้อนในบ้านที่แคนาดา แม้จะต้องทำงานสอนคนหูหนวกทั้งช่วงกลางวันและตอนเย็น เบลล์ยังมุ่งมั่นศึกษาวิจัยเรื่องการส่งสัญญาณเสียงผ่านเส้นลวดของเขาต่อไปโดยใช้เวลาตอนกลางคืนแทน เขากังวลว่างานของเขาจะถูกคนอื่นค้นพบจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บซ่อนสมุดบันทึกและอุปกรณ์ห้องทดลองของเขา เบลล์มีโต๊ะที่ทำขึ้นเป็นพิเศษซึ่งสามารถวางโน้ตและอุปกรณ์ไว้ในฝาปิดล็อคได้ ที่แย่ไปกว่านั้น ร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้สุขภาพของเขาแย่ลงเมื่อเขาปวดหัวอย่างรุนแรง จนเมื่อกลับมาที่บอสตันในฤดูใบไม้ร่วงปี พ.ศ. 2416 เบลล์ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะทำงานการทดลองทางด้านเสียงอย่างจริงจัง เขาจึงเริ่มลดจำนวนนักเรียนพวกลูกเศรษฐีที่มาเรียนส่วนตัวกับเขาจนเหลือเพียงแค่ 2 คน และทั้งสองคนมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ยิ่งใหญ่ในอนาคตของเขา คนแรกคือ “จอร์จี” หรือ จอร์จ แซนเดอร์ส (George Sanders) วัย 6 ขวบ หูหนวกแต่กำเนิด เป็นลูกชายของโธมัส แซนเดอร์ส (Thomas Sanders) นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ผู้สนับสนุนและผู้ลงทุนคนสำคัญในโครงการคิดค้นพัฒนาโทรศัพท์ของเบลล์ ผู้ที่เสนอที่พักพร้อมทดลอง อีกคนหนึ่งคือมาเบล การ์ดิเนอร์ ฮับบาร์ด (Mabel Gardiner Hubbard) วัย 15 ปี คนที่เขาหมายปอง เป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้เขาต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จเพื่อโอกาสที่จะได้แต่งงานกับเธอผู้เป็นลูกสาวของเศรษฐี การ์ดิเนอร์ กรีน ฮับบาร์ด (Gardiner Greene Hubbard) มาเบลเป็นเด็กผู้หญิงที่สดใสและมีเสน่ห์  หลังจากสูญเสียการได้ยินจากการเป็นไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) ตอนใกล้จะอายุครบห้าขวบของเธอ เธอเรียนรู้ที่จะอ่านริมฝีปาก

ในปี พ.ศ. 2417 กิจการการรับส่งข้อความทางโทรเลขมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและแพร่หลายไปทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกามีบริษัทเวสเทิร์น ยูเนี่ยน (Western Union) เป็นผู้ผูกขาดอุตสาหกรรมนี้เพียงผู้เดียว วิลเลียม ออร์ตัน (William Orton) ประธานบริษัทเวสเทิร์น ยูเนี่ยน ทำสัญญากับโธมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) และเอลีชา เกรย์ (Elisha Gray) เพื่อหาวิธีส่งข้อความทางโทรเลขหลายฉบับในแต่ละสายโทรเลข ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการติดตั้งสายโทรเลข แต่เป้าหมายการทดลองของเบลล์คือการสร้าง “Harmonic Telegraph” หรือโทรเลขที่สามารถส่งสัญญาณเสียงที่มีท่วงทำนองประสานกันหลายเสียงพร้อมกันได้ ไม่ใช่แค่ส่งเสียงเคาะสั้น ๆ ยาว ๆ แบบโทรเลข จากนั้นจึงพัฒนาเป็นการส่งเสียงพูดกลายเป็นโทรศัพท์ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ในฝันของผู้คนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ทั่วโลกแข่งขันคิดค้นพัฒนาสิ่งนี้กันอย่างเข้มข้น เบลล์ได้การ์ดิเนอร์ กรีน ฮับบาร์ดและโธมัส แซนเดอร์สเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินในโครงการทดลองของเขา ทำให้งานของเขาก้าวหน้าอย่างมาก ฮับบาร์ดมอบหมายให้แอนโทนี่ พอลล็อก ( Anthony Pollok) เป็นทนายความด้านสิทธิบัตร แต่ยังมีอุปสรรคอีกอย่างคือเบลล์ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่เมื่อมีผู้สนับสนุนทางการเงินเขาจึงสามารถจ้าง โธมัส ออกุสตุส วัตสัน (Thomas Augustus Watson) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบไฟฟ้าและเครื่องกลมาเป็นผู้ช่วยของเขา และเมื่อทั้งสองคนทำงานร่วมกันความสำเร็จจึงเกิดขึ้น

14 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2419 ทนายความของเบลล์ยื่นจดสิทธิบัตรโทรศัพท์ก่อนหน้าที่เกรย์เพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งสิทธิบัตรโทรศัพท์ที่เกรย์ยื่นมีหลักการทำงานเหมือนกับของเบลล์ ต่างกันแค่วัสดุที่ใช้เป็นตัวต้านทานแปรผันเท่านั้น เบลล์ได้รับสิทธิบัตรในวันที่ 7 มีนาคม ปี พ.ศ. 2419 สามวันหลังได้รับสิทธิบัตรเบลล์กับวัตสัน ได้ทำการทดลองระบบโทรศัพท์สำเร็จเป็นครั้งแรก เบลล์พูดกับผู้ช่วยของเขาที่อยู่คนละห้องผ่านโทรศัพท์ว่า “Mr. Watson, come here. I want to see you.” หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันเบลล์ได้ทดลองพูดโทรศัพท์จากบ้านที่เมืองแบรนท์ฟอร์ดไปยังสำนักงานโทรเลขซึ่งอยู่ห่างออกไป 8 กิโลเมตรโดยมีผู้สังเกตการณ์หลายคนซึ่งได้ยินเสียงเบา ๆ ของเขาจากโทรศัพท์ นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ใช้งานในระยะไกลได้จริง ในวันที่ 10 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2419 เบลล์กับวัตสันได้ทดลองโทรศัพท์หากันอีกครั้งด้วยคำพูดประโยคเดิมแต่คราวนี้เบลล์อยู่ที่นิวยอร์กส่วนวัตสันอยู่ที่ซานฟรานซิสโกซึ่งห่างกันกว่า 4,000 กิโลเมตร

 

เบลล์เปิดสายโทรทางไกลจากนิวยอร์กไปชิคาโกในปี พ.ศ. 2435 / ภาพจาก en.wikipedia.org

สิทธิบัตรของเบลล์ถูกนำไปเสนอขายต่อบริษัทเวสเทิร์น ยูเนี่ยน ในราคา 100,000 ดอลลาร์ แต่ถูกปฏิเสธเพราะประธานบริษัทคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ของเล่นไม่มีทางสร้างกำไรได้ สองปีต่อมาเขาพูดกับเพื่อนว่าเขายอมจ่าย 25 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสิทธิบัตรของเบลล์ แต่พอถึงเวลานั้นเบลล์ไม่ขายแล้วเพราะเขาและหุ้นส่วนได้จัดตั้งบริษัทเบล เทเลโฟน (Bell Telephone Company) ขึ้นในปี พ.ศ. 2420 เพื่อให้บริการโทรศัพท์ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาบริษัทนี้ได้พัฒนาเป็นบริษัทเอทีแอนด์ที (AT&T Inc.) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของสหรัฐอเมริกาและของโลก ระบบโทรศัพท์ของเบลล์ได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขี้นอย่างต่อเนื่อง เครือข่ายโทรศัพท์ถูกติดตั้งและแพร่ขยายไปทั่วโลก โทรศัพท์สร้างความเจริญก้าวหน้าในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ชนิดพลิกโลก ทั้งในแง่ความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย จนทำให้โทรศัพท์กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้

ผลงานการประดิษฐ์โทรศัพท์ทำให้เบลล์ได้รับชื่อเสียงและเงินทองมากมาย เขากลายเป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทเบล เทเลโฟน แต่รางวัลแห่งความสำเร็จที่เขาพอใจที่สุด คือการได้แต่งงานกับมาเบล ฮับบาร์ดลูกศิษย์หูหนวกของเขาผู้เป็นลูกสาวของการ์ดิเนอร์ กรีน ฮับบาร์ด ผู้สนับสนุนด้านการเงินคนสำคัญที่กลายเป็นหุ้นส่วนของเขา ของขวัญการแต่งงานที่เขามอบให้กับภรรยาคือหุ้นในบริษัทเบล เทเลโฟน จำนวน 1,487 หุ้นจากทั้งหมด 1,497 หุ้น เหลือให้ตัวเองเพียง 10 หุ้นเท่านั้น นี่อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพลังแห่งความรักของเขาสามารถบันดาลให้บังเกิดสิ่งยิ่งใหญ่ขึ้นในโลกใบนี้ได้

 

จากซ้าย เอลซี่ เมล์ เบลล์(ลูกสาวคนโต), มาเบล การ์ดิเนอร์ ฮับบาร์ด (ภรรยา), แมเรียน ฮับบาร์ด เบลล์(ลูกสาวคนเล็ก), อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ Alexander Graham Bell / ภาพจาก en.wikipedia.org

นอกจากนี้ความสำเร็จจากผลงานของเขายังทำให้เบลล์ได้รับสิ่งที่เขาไม่ต้องการด้วย นั่นคือการที่เขาถูกฟ้องร้องจำนวนมากถึงประมาณ 600 คดี ส่วนใหญ่เป็นการฟ้องร้องเพื่อแย่งชิงหรือมีส่วนร่วมในสิทธิบัตรโทรศัพท์ของเบลล์ โดยอ้างว่าเบลล์ขโมยแนวคิดหรือคัดลอกหลักการทำงานของพวกเขา คดีที่เขาถูกฟ้องร้องมากขนาดที่เขาต้องซื้อบ้านในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อความสะดวกตอนมาขึ้นศาล แต่ไม่มีคดีใดเลยที่เขาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิด แม้ว่าจะมีบางคดีที่เกือบไปเหมือนกัน นั่นทำให้สิทธิบัตรโทรศัพท์ของเขาได้รับการยอมรับทางกฎหมายอย่างสมบูรณ์

นอกจากการประดิษฐ์โทรศัพท์แล้วเบลล์ยังมีผลงานอื่นอีกหลายอย่าง ในปี พ.ศ. 2422 รัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบรางวัล “Volta Prize” แก่เบลล์สำหรับการประดิษฐ์โทรศัพท์เป็นเงิน 270,000 ดอลลาร์ เบลล์ได้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวจัดตั้งห้องทดลอง “Volta Laboratory” เพื่อการวิจัยและพัฒนาการสื่อสารโทรคมนาคม การบันทึกเสียง และเทคโนโลยีอื่นๆ ต่อมาได้จัดตั้ง “Volta Bureau” เพื่อเพิ่มพูนและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับคนหูหนวก ผลงานการประดิษฐ์ การพัฒนา และผลงานอื่นของเบลล์ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

โทรศัพท์ไร้สาย
เบลล์และผู้ช่วยของเขา ชาร์ลส์ ซัมเนอร์ เทนเตอร์ (Charles Sumner Tainter) ที่ห้องทดลอง Volta Laboratory ได้ประดิษฐ์โทรศัพท์ไร้สายที่เขาเรียกว่า “Photophone” ซึ่งส่งสัญญาณเสียงและคำพูดด้วยลำแสง เบลล์กับผู้ช่วยทดลองส่งสัญญาณเสียงด้วยโทรศัพท์ไร้สายของเขาที่ระยะห่างกว่า 200 เมตรได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2423 ก่อนหน้าการส่งสัญญาณเสียงด้วยวิทยุครั้งแรกถึง 19 ปี เทคโนโลยีไร้สายของเบลล์ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของระบบการสื่อสารด้วยใยแก้วนำแสง

เครื่องตรวจจับโลหะ
เบลล์ได้ชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาเครื่องตรวจจับโลหะรุ่นแรก ๆ ในปี พ.ศ. 2424 เมื่อประธานาธิบดีเจมส์ อับรัม การ์ฟีลด์ (James Abram Garfield) ถูกยิง เครื่องมือดังกล่าวจึงถูกเบลล์สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อใช้ตรวจหาลูกกระสุนปืนที่ฝังในร่างของประธานาธิบดี เครื่องตรวจจับโลหะของเขาใช้งานได้ดี แต่ลูกกระสุนฝังลึกเกินกว่าเครื่องมือที่เพิ่งพัฒนาขึ้นใหม่จะตรวจจับได้

เรือไฮโดรฟอยล์
เบลล์และผู้ช่วยของเขา เฟรเดอริค วอล์คเกอร์ บอลด์วิน (Frederick Walker Baldwin) ได้สร้างเรือไฮโดรฟอยล์เริ่มต้นจากปี พ.ศ. 2451 และมีการปรับปรุงพัฒนาเรื่อยมาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2452 เรือไฮโดรฟอยล์รุ่น HD-4 ของเบลล์ก็ได้สร้างสถิติโลกความเร็วทางน้ำที่ความเร็ว 114 กม./ชม. และสถิตินี้ยืนยงอยู่ได้นับสิบปี

พัฒนาด้านการบิน
เบลล์เริ่มทดลองพัฒนาอากาศยานที่ใช้เครื่องยนต์ในปี พ.ศ. 2434 จากนั้นในปี พ.ศ. 2450 เบลล์และทีมงานหลายคนได้ก่อตั้งสมาคม Aerial Experiment Association (AEA) เพื่อพัฒนาอากาศยาน และในปี พ.ศ. 2452 เครื่องบินรุ่น Silver Dart ของพวกเขาสามารถขึ้นบินได้สำเร็จเป็นการบินเที่ยวแรกในแคนาดา

เบลล์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2465 มีอายุ 75 ปี ด้วยผลงานสำคัญมากมายโดยเฉพาะการประดิษฐ์โทรศัพท์ที่สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล (แม้ว่าแม่และภรรยาของเบลล์เองไม่มีโอกาสได้ใช้งานเพราะหูหนวก) เบลล์จึงได้รับการยกย่องในฐานะบุคคลสำคัญของโลกและได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย ในระหว่างพิธีฝังศพของเขาโทรศัพท์ทุกเครื่องในทวีปอเมริกาเหนือหยุดใช้งานเพื่อเป็นเกียรติเขา ปี พ.ศ. 2471 หน่วยวัดระดับความดังของเสียงซึ่งเดิมเรียกว่า Transmission Unit (TU) ได้ถูกปรับเปลี่ยนและเรียกชื่อใหม่เป็นเดซิเบล (Decibel – dB) ตามชื่อของเบลล์เพื่อเป็นเกียรติแก่ยอดนักประดิษฐ์คนเก่งผู้นี้

เรียบเรียงโดย จันจิรา ทีมงาน iEnergyGURU

อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_Graham_Bell
https://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_Melville_Bell
https://en.wikipedia.org/wiki/Bell_Homestead_National_Historic_Site
https://en.wikipedia.org/wiki/Gardiner_Greene_Hubbard
https://en.wikipedia.org/wiki/Mabel_Gardiner_Hubbard
https://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_A._Watson
https://en.wikipedia.org/wiki/AT%26T_Corporation
https://www.britannica.com/biography/Alexander-Graham-Bell
https://www.history.com/topics/inventions/alexander-graham-bell

 

2 Reviews

5
1

Write a Review

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *